ปี 2023 ปรับฐานครั้งใหญ่ ส่ง 2024 เข้าปีทองตลาดหุ้นไทย
นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content สายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาของวารสารการเงนิธนาคาร “Thailand Next Move 2023 : The Nation Recharge” หัวข้อ “คู่หู-คู่หุ้น The Reunion คัดหุ้นเด่น All Star ประจำปี 2023” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2023 ต้องพิจารณาจาก 3 ความกลัว คือ
1. ความกลัวเกี่ยวกับเงินเฟ้อ : โลกได้เผชิญหน้ากับคลื่นลูกนี้ไปแล้ว เห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อใกล้เข้าสู่ระดับสูงสุด และเริ่มทยอยปรับตัวลดลงในหลายประเทศ ดังนั้นในเรื่องของความกลัวเกี่ยวกับเงินเฟ้อของนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว
2.ความกลัวเรื่องของ Recession : คลื่นอีกลูกที่นักลงทุนได้เผชิญหน้าไปแล้ว โดยนักวิเคราะห์หลายสำนักให้ความเห็นตรงกันว่า ในปีหน้าอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะ Recession ประมาณ 35%
3.ความกลัวเรื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียน : เป็นคลื่นลูกเดียวที่ยังไม่มาถึง และยังไม่เห็นชัดเจน เนื่องจากอเมริกาได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าอยู่ในระดับสูงสุดไปแล้วในช่วงปลายปีนี้ แต่ตราบใดที่เงินเฟ้อยังไม่ลงมาอยู่ที่ระดับ 2% FED อาจจะไม่กล้าลดอัตราดอกเบี้ย และหากอัตราดอกเบี้ยยังคงยืนอยู่ที่ 5% ต่อไปจนถึงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2023 อาจส่งผลไปที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในบางกลุ่ม เช่น อสังหาฯ เป็นต้น
“ถ้าคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยอยู่ที่ 5% ต่อจนถึงครึ่งปีหลังของปี 2023 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การบริโภคและการลงทุนในบางอุตสาหกรรมจะลดลง เช่น คนที่ต้องการซื้อบ้านก็จะรอไปจนถึงช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อดูทิศทางของดอกเบี้ยก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดอสังหาฯก็อาจจะซบเซาในช่วงครึ่งปีแรกได้ โดยคลื่นลูกที่ 3 จะเป็นตัวที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจในปี 2023 ได้ชัดเจนที่สุดเพราะความกลัวในคลื่น 2 ลูกแรกนั้นผ่านไปแล้ว”
นายกวีกล่าวต่อว่า อีก 1 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญคือ อัตราการว่างงานในอเมริกา ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 3.5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ แต่ในอเมริกานั้น เวลาบริษัทต้องการปลดพนักงานสามารถปลดพร้อมกันได้ทีละหลายร้อยคน แตกต่างจากไทยที่ไม่ค่อยเห็นปัญหานี้เกิดขึ้นในตลาดแรงงานมากนัก สังเกตได้จากการที่ชาวอเมริกันพยายามหาอาชีพรองหรือทำอาชีพเสริมเพิ่มเติมจากอาชีพหลัก
ส่วนปัจจัยในประเทศตอนนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะไทยเป็นไม่กี่ประเทศในปี 2023 ที่เศรษฐกิจจะโตได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ทิศทางตลาดหุ้นมักจะดีตามไปด้วย
“เหตุผลที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อไทยขึ้นสูงนั้นมาจากช่วงต้นปี 2022 ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไป 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งไทยได้รับผลกระทบหนักเพราะเป็นประเทศที่พึ่งพาพลังงานจากน้ำมันเยอะ แต่ปีปัจจุบันราคาน้ำมันลงมาวิ่งอยู่ในกรอบ 80-90 ดอลลาร์ ทำให้มีโอกาสเห็นอัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงจากเดิมประมาณ 4% เหลือเพียงแค่ 2% ได้”
ส่วนด้านการท่องเที่ยว สภาพัตน์ฯ ปรับตัวเลขการท่องเที่ยวจาก 18 ล้านคนเป็น 21 ล้านคนในปี 2023 และอาจเพิ่มไปถึง 40 ล้านคน ในปี 2024 โดยปัญหาด้านการท่องเที่ยวในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องจำนวนนักท่องเที่ยว แต่คือจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่รองรับการเดินทางจากหลายประเทศในโลก
นายกวีกล่าวเสริมว่า ด้านการบริโภคในไทย ถือว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนจากภาคเอกชน อีกทั้งความขัดแย้งในการเมืองระหว่างประเทศส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับไทย ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากในสายตานักลงทุนทั่วโลก เห็นได้จากภาคเอกชนรายใหญ่หลายรายเริ่มย้ายเข้ามาลงทุนในไทยไม่ว่าจะเป็น BYD, TESLA หรือ Amazon
นายกวีอธิบายต่อว่า ปี 2023 อาจจะเป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นโอกาศซื้อที่ดีมาก แต่ยังไม่ใช่โอกาสทำกำไรที่ดี ส่วนปีที่จะทำกำไรได้ดีคือปี 2024 ซึ่งจากการประเมินปัจจัยต่างๆ คาดว่าน่าจะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย
ส่วนหุ้นที่แนะนำในช่วงนี้ตัวแรกคือ DOHOME เพราะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์พร้อมกัน 2 กลุ่มคือค้าปลีกและอุตสาหกรรม อีกทั้งราคาในปัจจุบันก็ถือว่าลงมาเยอะมากในช่วงที่เหล็กราคาลงเพราะเป็นบริษัทที่ยอดขายหลักมาจากเหล็กเป็นส่วนใหญ่
ด้านการท่องเที่ยวอาจต้องลงทุนระยะยาวเนื่องจากราคาในปัจจุบันของหุ้นกลุ่มนี้ค่อนข้างแพง อาจต้องรอจังหวะให้ปรับฐานลงก่อน แต่หากต้องการลงทุนในช่วงนี้แนะนำ CENTEL และ AOT
กลุ่มค้าปลีกแนะนำ CPALL เพราะราคายังห่างจากราคาสูงสุดอยู่มาก แต่หากมองไปที่พื้นฐานตอนนี้ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เสียต้นทุนจากการปรับปรุงสาขาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากดำเนินการเสร็จแล้วต้นทุนก็จะถูกลง กำไรก็จะเพิ่มขึ้นได้อีกโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมมากนัก อีกทั้งในอนาคตยังมีแผนรองรับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ EV ซึ่งมีการจะติดตั้งสถานีชาร์จไว้ด้วย ทำให้อนาคต CPALL มีช่องทางไปต่อได้อีกมากและมีการปูพื้นมาพอสมควรแล้วในปัจจุบัน
นายกวีกล่าวต่อว่า กลุ่มโลจิสติก แนะนำ WHA เพราะคือผู้นำในธุรกิจที่เป็นโลจิสติกและพื้นที่มีโกดังให้เช่ามากที่สุดในไทย อีกทั้งยังมีกอง REIT ที่จะวิ่งไปหาอยู่ตลอดเวลา ในด้านการเติบโตต่อปีและการจ่ายปันผลก็ถือว่าน่าสนใจ อีกทั้งจะยังได้อานิสงส์จาก Supply Chain ของ BYD ที่มาเปิดโรงงานในไทยกับ WHA ด้วย
ส่วนด้านพลังงานยังมองไปที่ระยะยาว แม้ราคาจะผันผวนสูงจากราคาน้ำมันที่และอัตราดอกเบี้ยที่กำลังลดลง แต่ในปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนกลายมาเป็นกระแสและหลายบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, Google ก็ก้าวไปสู่การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งหุ้นที่แนะนำคือ GPSC และ BGRIM ในมุมของการลงทุนระยะยาว เพื่อรับกับกระแสการใช้พลังงานรูปแบบใหม่ของโลก
ถัดมาในกลุ่มอสังหาฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีราคา P/E ต่ำ แต่ให้ Dividend Yield ที่สูงเกือบทุกตัวไม่ว่าจะเป็น LH, SUPALAI, AP, ORI ซึ่งจะเลือกลงทุนตัวไหนก็ได้ แต่ถ้าต้องการเน้นการลงทุนระยะยาวให้มองไปที่หุ้นใหญ่อย่าง LH เพราะมีการกระจายธุรกิจไปยังค้าปลีกคือ HOME PRO และธนาคารคือ LH Bank ซึ่งถึงแม้ราคาจะขึ้นช้าแต่ค่อนข้างมั่นคง และด้วยเงินปันผลที่ระดับ 6-7% ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ราคาไม่แพงเกินไป
ส่วนในกลุ่มธนาคาร มองไปที่ธนาคารที่เน้นการปล่อยสินเชื่ออย่าง KBANK หรือถ้าหุ้นเล็กลงมาก็มองไปที่ TISCO เพราะให้ปันผลที่สูงถึง 8% และได้ประโยชน์จากกระแสของรถยนต์ EV เพราะเป็นผู้ปล่อยเช่าซื้อรถยนต์ด้วย
ในส่วนการลงทุนระยะสั้นที่สามารถลงทุนได้ทันทีแนะนำ 3 หุ้นด้วยกัน ตัวแรกคือ COM7 เพราะบริษัทมีนโยบายร่วมกับมาตรการของภาครัฐอย่าง ช้อปดีมีคืน ส่งผลให้บริษัทมีเงินสะพัดมากขึ้นในช่วงนี้อีกทั้งราคาของ COM7 ปรับตัวลงมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกตัวมองไปที่ MAJOR เพราะภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในช่วงสิ้นปี-ปีหน้าค่อนข้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มากระจุกตัวกันและ MAJOR จะเริ่มได้ประโยชน์จากผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาส 4 ส่วนหุ้นตัวสุดท้ายแนะนำ PLANB ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งในต้นปี 2023 เพราะมีความต้องการในเรื่องของการใช้ป้ายโฆษณาเพิ่มขึ้น